ยารักษาสิว ของศิริราช
ความเดิมตอนที่แล้วว่าจะมารีวิวยารักษาสิว ของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ไปดูกันค่ะว่ามันดีไม่ดียังไง
1. Golve in Bottle
แฮนด์ครีมที่คุณหมอเคลมว่าช่วยในเรื่องการบำรุงให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ต้องบอกก่อนเลยว่าผิวที่มือเราแห้งมากกกก จับที่นี่หยาบกว่าหน้าก็ว่าได้ ช่วงอาทิตย์แรกๆที่พยายามใช้ติดต่อกันรู้สึกว่ามือมีความชุ่มชื้นขึ้น ไม่สากมากเหมือนแต่ก่อน แต่หลังๆเริ่มใช้บ้างไม่ใช้บ้างเลยไม่ค่อยชุ่มชื้นเท่าไหร่ ทั้งนี้กลิ่นของเจ้าครีมตัวนี้กลิ่นจะไม่หอมสักเท่าไหร่ จะออกเป็นกลิ่นคล้ายยาเม็ดนิดๆ ถ้าใครโอเคเราก็แนะนำให้ลองไปซื้อใช้ดู ราคาไม่แรงเมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้
2. Harrogate Soap
สบู่ฟอกสิวที่ตัว ที่หมอบอกให้เราเอามาใช้ฟอกแทนสบู่ที่ใช้อยู่ กลิ่นจะไม่หอม สำหรับใครที่ไม่ชอบกลิ่นแบบยาอาจจะไม่ชอบสักเท่าไหร่ จากการค้นหาในอากู๋(Google) เค้าบอกว่าสบู่เนี่ยมันเป็นสบู่ที่มีขายที่อังกฤษ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่รู้ว่าราคาถูกหรือแพงกว่าที่ไทย และไม่รู้ว่าที่ขายตามอินเทอร์เน็ตของแท้หรือเปล่า
3. Triamcinolone 0.02% cream
ครีมทาบริเวณผิวที่เป็นรอยผื่นแดง ซึ่งอันนี้หมอให้เรามาทาตรงที่เป็นเม็ดคล้ายๆสิวตรงข้างจมูก ระยะแรกรอยแดงก็ดีขึ้นนะ แต่เราน่าจะไปแกะเลยไม่หายสักที ที่จริงแล้วครีมตัวนี้จะเป็นกระปุกใหญ่แต่ทางโรงบาลแบ่งมาให้ทาไม่เยอะค่ะ กระปุกจะเป็นฉลากสีแดงๆ
4. Lotion P No
โลชั่นที่จะออกไปในทางน้ำผสมแป้ง ต้องเขย่าก่อนใช้งาน ยาตัวนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ของศิริราชซึ่งราคาไม่แรง แถมการใช้งานที่ช่วยลดรอยสิวที่บริเวณหลังก็ดีขึ้น
5. Clindamycin
ยาทาสิวตัวนี้จะเป็นน้ำใสๆ คล้ายกับ Clinda M แต่ตัวนี้จะเป็นยาที่ทางโรงพยาบาลผลิตเอง และต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นเพื่อคงสภาพคุณสมบัติของยาาไว้ค่ะ
6. RB cream
ยาทาเพื่อลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ยาตัวนี้ขอบอกว่าดี เราใช้ 1 อาทิตย์ก็เห็นผลได้ว่ารอยดำจากสิวดูจางลงมากกกกกกก เป็นยาของโรงพยาบาลอีกแล้วค่ะ การเก็บรักษายาก็จะเหมือนกับ Clindamycin ที่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น
7. Differin
ยาตัวนี้หมอสั่งให้เราเอามาทาพวกสิวผดที่ยังไม่ออกมา ซึ่งจากการทาไปได้ 2-3 อาทิตย์ก็รู้สึกว่าบริเวณที่เราทาคือหน้าผากกับคางสิวผดน้อยลง (หมอให้ทาทั้งหน้าแหละ แต่ลืมบ้างอะไรบ้าง) ปัญหาสิวที่เกิดใหม่ก็ค่อยๆน้อยลงด้วย
ปล. ยาทุกตัวเราใช้ระยะเวลาในการใช้งาน 1 เดือนถึงจะเห็นผลชัดเจน สำหรับใครที่ไปรักษากับโรงพยาบาลแล้วเห็นผลช้าก็ไม่ต้องตกใจไป สภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การใช้งานตัวยาต่างๆจึงขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละคน และคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาค่ะ
1. Golve in Bottle
แฮนด์ครีมที่คุณหมอเคลมว่าช่วยในเรื่องการบำรุงให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ต้องบอกก่อนเลยว่าผิวที่มือเราแห้งมากกกก จับที่นี่หยาบกว่าหน้าก็ว่าได้ ช่วงอาทิตย์แรกๆที่พยายามใช้ติดต่อกันรู้สึกว่ามือมีความชุ่มชื้นขึ้น ไม่สากมากเหมือนแต่ก่อน แต่หลังๆเริ่มใช้บ้างไม่ใช้บ้างเลยไม่ค่อยชุ่มชื้นเท่าไหร่ ทั้งนี้กลิ่นของเจ้าครีมตัวนี้กลิ่นจะไม่หอมสักเท่าไหร่ จะออกเป็นกลิ่นคล้ายยาเม็ดนิดๆ ถ้าใครโอเคเราก็แนะนำให้ลองไปซื้อใช้ดู ราคาไม่แรงเมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้
2. Harrogate Soap
สบู่ฟอกสิวที่ตัว ที่หมอบอกให้เราเอามาใช้ฟอกแทนสบู่ที่ใช้อยู่ กลิ่นจะไม่หอม สำหรับใครที่ไม่ชอบกลิ่นแบบยาอาจจะไม่ชอบสักเท่าไหร่ จากการค้นหาในอากู๋(Google) เค้าบอกว่าสบู่เนี่ยมันเป็นสบู่ที่มีขายที่อังกฤษ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่รู้ว่าราคาถูกหรือแพงกว่าที่ไทย และไม่รู้ว่าที่ขายตามอินเทอร์เน็ตของแท้หรือเปล่า
3. Triamcinolone 0.02% cream
ครีมทาบริเวณผิวที่เป็นรอยผื่นแดง ซึ่งอันนี้หมอให้เรามาทาตรงที่เป็นเม็ดคล้ายๆสิวตรงข้างจมูก ระยะแรกรอยแดงก็ดีขึ้นนะ แต่เราน่าจะไปแกะเลยไม่หายสักที ที่จริงแล้วครีมตัวนี้จะเป็นกระปุกใหญ่แต่ทางโรงบาลแบ่งมาให้ทาไม่เยอะค่ะ กระปุกจะเป็นฉลากสีแดงๆ
4. Lotion P No
โลชั่นที่จะออกไปในทางน้ำผสมแป้ง ต้องเขย่าก่อนใช้งาน ยาตัวนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ของศิริราชซึ่งราคาไม่แรง แถมการใช้งานที่ช่วยลดรอยสิวที่บริเวณหลังก็ดีขึ้น
5. Clindamycin
ยาทาสิวตัวนี้จะเป็นน้ำใสๆ คล้ายกับ Clinda M แต่ตัวนี้จะเป็นยาที่ทางโรงพยาบาลผลิตเอง และต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นเพื่อคงสภาพคุณสมบัติของยาาไว้ค่ะ
6. RB cream
ยาทาเพื่อลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ยาตัวนี้ขอบอกว่าดี เราใช้ 1 อาทิตย์ก็เห็นผลได้ว่ารอยดำจากสิวดูจางลงมากกกกกกก เป็นยาของโรงพยาบาลอีกแล้วค่ะ การเก็บรักษายาก็จะเหมือนกับ Clindamycin ที่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น
7. Differin
ยาตัวนี้หมอสั่งให้เราเอามาทาพวกสิวผดที่ยังไม่ออกมา ซึ่งจากการทาไปได้ 2-3 อาทิตย์ก็รู้สึกว่าบริเวณที่เราทาคือหน้าผากกับคางสิวผดน้อยลง (หมอให้ทาทั้งหน้าแหละ แต่ลืมบ้างอะไรบ้าง) ปัญหาสิวที่เกิดใหม่ก็ค่อยๆน้อยลงด้วย
ปล. ยาทุกตัวเราใช้ระยะเวลาในการใช้งาน 1 เดือนถึงจะเห็นผลชัดเจน สำหรับใครที่ไปรักษากับโรงพยาบาลแล้วเห็นผลช้าก็ไม่ต้องตกใจไป สภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การใช้งานตัวยาต่างๆจึงขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละคน และคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาค่ะ
Comments
Post a Comment